สถานที่ติดต่อ

เลขที่ 214 หมู่ที่ 2
บ้านแม่ถอด ต.แม่ถอด
อ.เถิน จ.ลำปาง 52160

 

 

เวลาทำการ

เปิดบริการ จันทร์ - ศุกร์
08.30 น. - 16.30 น.
หยุด เสาร์ - อาทิตย์

ติดต่อเพิ่มเติม

Tel : 054-838539 อาสากู้ภัยแม่ถอด 0-5483-8599 ตลอด 24 ชั่วโมง
Email : admin@maethod.com และ maethod.m214@gmail.com
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ : saraban@maethod.com   

(ติดต่อข้อมูลข่าวสาร เวลา 08.30 - 16.30 น. เว้นวันหยุดราชการ)

  • ข้อความช่องทางการสอบถามข้อมูล QA
  • กระดานสนทนา

บุกเข้าป่าพิสูจน์ "ต้นจำปีหลวงยักษ์" ยืนต้นคู่กันกลางป่า อ.เถิน คาดต้นใหญ่ที่สุดในโลก มีเส้นรอบวงกว่า 8 เมตร เตรียมเสนอเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติ

(4 ต.ค.) นายจเรศักดิ์ นันตวงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3(ลำปาง) กรมป่าไม้ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ สายตรวจปราบปรามว่าด้วยการกระทำผิดกฏหมายว่าด้วยการป่าไม้ สายที่ 1 สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) กำลังหน่วยป้องกันและรักษาป่าในพื้นที่ จังหวัดลำปาง ทั้งหมด กว่า 100 นาย

พร้อมด้วย กำนันตำบลแม่ถอด ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่เตี้ย เยาวชนและชาวบ้านในพื้นที่ บ้านแม่เตี้ย เดินเท้าเข้าตรวจสอบ พื้นที่ป่าหลังหมู่บ้านแม่เตี๊ย ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปราบ โดยใช้เวลาในการเดินเข้าไปยังจุดที่ต้นจำปี ยืนต้นอยู่นั้น ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทางคาดว่าประมาณ 4 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินลัดเลาะไปกับลำห้วย สลับเส้นทางสูงชัน จึงใช้เวลาในการเดินเท้าเข้าไปถึงจุดหมายหลายชั่วโมง

เมื่อไปถึงพบ ไม้จำปีหลวง หรือ จำปีรัชนี ยืนคู่กันสองต้น โดยต้นที่ใหญ่ที่สุด วัดขนาดเส้นรอบวงได้ 8.60 เมตร ส่วนอีกต้นที่เคียงคู่กันนั้นขนาดเล็กกว่ากันเล็กน้อย ซึ่งไม่เคยพบเห็นที่ไหนมีขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน คาดว่าจะเป็นต้นจำปีหลวงที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เนื่องจากว่า ตามที่ได้มีการศึกษาและบันทึกไว้โดยนักพฤกษศาสตรที่ผ่านมา พบแค่เส้นผ่าศูนย์กลางต้นไม้จำปีหลวงที่ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ พบเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เมตร แต่ต้นที่พบที่ จ.ลำปาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2.60 เมตร ถือได้ว่าเป็นต้นจำปีหลวงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ซึ่งก็จะต้องหาวิธีอนุรักษ์และขยายพันธุ์ต่อไป พร้อมทั้งอาจจะเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ

12193344_896668360415148_4781637690648181039_n.jpg

12182317_891598854255432_1566107759_n.jpg

12188475_891598790922105_386257817_n.jpg

12179422_891598250922159_2038063766_n.jpg

12179369_891598694255448_68616769_n.jpg

12179240_891598627588788_1252208253_n.jpg

12016459_891599254255392_872350632_n.jpg

12241264_896698400412144_5932753497424012898_n.jpg

12196263_896669943748323_2605596873071024254_n.jpg

วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์

w1 resize

          วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ ขึ้นทะเบียนเป็นวัดถูกต้องตามพระราชบัญญัติเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2529 แต่เป็นวัดที่ชาวบ้านในอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง รู้จักและศรัทธามาหลายศตวรรษแล้ว ปัจจุบันวัดมีเนื้อที่ 120 ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตำแหน่งที่ดิน ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ระวางรูปถ่ายทางอากาศชื่อ บ้านแม่ถอด ทะเบียนเลขที่ 2660 เล่มที่ 27 ธ. หน้า 10 เลขที่ดิน 10 หมายเลข 4864 แผ่นที่ 90 หนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับนี้ ออกให้เพื่อแสดงว่า ชื่อ วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ สัญชาติไทย บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ได้ครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่กล่าวข้างต้นแล้ว จำนวนเนื้อที่ 120 ไร่

 

 

          บริเวณพื้นที่มีภูเขาสองลูก ห่างกันประมาณ 50 เมตร ลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งวัด ชาวบ้านเรียกกันว่า ถ้ำแม่แก่ง เป็นภูเขามีถ้ำใหญ่เดินทะลุออกได้เป็นหินอ่อนทั้งลูก โดยธรรมชาติกว้างใหญ่สวยงาม มีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ภายในถ้ำลูกนี้ทางวัดได้สร้างกุฎิเป็นรูปโดมและรูปทรงไทยไว้รอบ ๆ เขา ภายในถ้ำเป็นทางแยกออกได้อีกทาง ซึ่งเรียกว่า ถ้ำหลวงปู่ อยู่ตรงหางพญานาคตัวขวามือ ส่วนใหญ่ด้านบนเป็นกุฎิพักภาวนาของหลวงพ่อ ส่วนอีกลูกหนึ่ง เรียกกันว่า ถ้ำพระบาท เพราะบนยอดเขาลูกนี้มีรอยพระพุทธบาทจมอยู่ในหินลึกประมาณ 1 ฟุต ยาวประมาณ 50 นิ้ว เห็นได้ชัดเจน ไม่มีการตกแต่งแต่อย่างใด

 

 

 

          วัดถ้ำสุขเกษมสวรรค์ อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลครึ่ง ทั้ง 4 หมู่บ้าน คือ 1. บ้านแม่เติน 2. บ้านนาบ้านไร่ 3. บ้านแม่แก่ง และ 4. บ้านใหม่ทุ่งเจริญ ในบริเวณใกล้เคียงไม่มีหมู่บ้าน ต่อมา พ.ศ. 2506 พระอาจารย์วิชัย ปสันโณ (พระครูนาควัชราธร) ได้เข้ามาพักบำเพ็ญภาวนา ณ ที่ถ้ำนี้ ประจวบกับในสมัยนั้น โป่งข่ามอำเภอเถินกำลังโด่งดังมาก เพราะในเขตบริเวณของถ้ำมีบ่อแก้วโป่งข่ามอยู่ด้วย ท่านอาจารย์วิชัยเห็นว่าถ้ำนี้เงียบสงบดี อยู่ไกลจากหมู่บ้าน ไม่อึกกระทึก ประกอบกับเป็นที่โคจรของพระธุดงค์ที่หาความสงบเงียบของครูบาอาจารย์มากท่านจึงริเริ่มสร้างเสนาสนะขึ้น ในสมัยนั้นได้สร้างศาลาการเปรียญและกุฎิหลายหลัง เป็นที่รู้จักและ รุ่งเรืองอยู่พักหนึ่ง แต่การคมนาคมก็ยังลำบากมาก ต้องเดินด้วยเท้า ท่านอยู่ได้ประมาณ 5 ปี ก็มีศรัทธาญาติโยมมานิมนต์ท่านไปอยู่ที่วัดช้าง จังหวัดกำแพงเพชร ท่านก็ได้ไปตามที่ญาติโยมนิมนต์ และก็ได้ไปให้ลูกศิษย์อยู่ต่อ พระที่อยู่นั้นอยู่ได้เพียงปีเดียวก็มรณภาพด้วยโรคมาเลเรีย ถ้ำนี้จึงร้างเรื่อย ๆ มา มีพระมาพักบำเพ็ญภาวนา ก็มากันเป็นเวลาชั่วครู่ชั่วยาม

 

 

 

          สิ่งก่อสร้างสมัยที่ท่านอาจารย์วิชัยสร้างไว้ก็เริ่มสลักหักพังด้วยปลวกบ้าง พายุบ้าง ไฟป่าบ้าง จนเห็นแต่ซากให้รู้ว่าเคยเป็นวัดมาก่อน เจ้าคณะธรรมยุต จังหวัดลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย คือ ท่านเจ้าคุณพระพิศิษฎ์- ธรรมภาณ ท่านเคยมาตรวจและเห็นว่าเป็นถ้ำที่สวยงาม ก็รู้สึกเสียดาย พยายามหาพระมาอยู่ ทุกองค์ก็อยู่กันไม่ได้ไม่ทราบสาเหตุ องค์แล้วองค์เล่าก็อยู่กันไม่ได้

 

 

 

          เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ท่านเจ้าคุณพระพิศิษฎ์ธรรมภาณ ได้พา หลวงพ่อรวย กลฺยาโณ (พระครูวิมลคณาภรณ์) เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเข้ามา ณ ที่นี้ เท่าที่ทราบกันว่าในขณะนั้นหลวงพ่อรวยท่านป่วยอยู่ หลวงพ่อรวยจึงไปกราบท่านเจ้าคุณพระพิศิษฎ์ธรรมภาณ เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัด เพื่อขอเข้ามาอยู่ในถ้ำนี้ เพราะนอกจากท่านเป็นพระที่หลวงพ่อท่านเคารพและยังเป็นอุปัชฌาย์ของท่านด้วย ท่านจึงได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระพิศิษฎ์ธรรมภาณ ให้เข้าไปอยู่และมาส่งท่าน พร้อมด้วยของใช้ที่จำเป็นให้แก่หลวงพ่อมาใช้ ในวันแรกที่หลวงพ่อท่านเข้ามาอยู่ในวัดถ้ำ รุ่งเช้าท่านออกบิณฑบาต ณ ที่หมู่บ้านแม่เติน เป็นระยะทางไปกลับ 7 กิโลเมตร อาหารที่ได้มาก็เพียงหน่อไม้ต้มกับข้าวเหนียวและขนมปัง 2 ชิ้น

 

 

          ในตอนสายวันนั้น ก็มีชาวบ้าน 5 6 คนเข้ามาหาท่าน และมาคุยเรื่องเก่า ๆ ในถ้ำนี้ ให้หลวงพ่อท่านฟัง และได้เอ่ยถามหลวงพ่อท่านว่า หลวงพ่อจะอยู่ได้หรือ เพราะที่นี่หลายต่อหลายองค์อยู่กันไม่ได้สักองค์ ไม่ทราบเพราะเหตุใด พวกผมเห็นว่าหลวงพ่อผอมบางอย่างนี้ คิดว่าอยู่ได้ไม่นานนะ หลวงพ่อท่านได้แต่ยิ้มและบอกกับชาวบ้านพวกนั้นว่า อาตมาจะมาเพื่อบำเพ็ญภาวนารักษาตัว คิดว่าจะตายก็ขอให้ตายที่ถ้ำนี้จะลองอยู่ดู คุยกันอยู่พักหนึ่งเขาก็ลากลับกัน หลวงพ่อก็คงอยู่ของท่านไปจนใกล้จะเข้าพรรษา ชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อท่านอยู่ได้เป็นเดือนแล้ว จึงเข้ามาหาและบอกว่าจะหาเด็กมาบวชเณรเพื่อเป็นเพื่อนในพรรษา เผื่อหลวงพ่อจะได้ไว้ใช้ในบางโอกาส หลวงพ่อก็ว่าดีเหมือนกัน ชาวบ้านเขาก็เอาเด็กมาให้ 4 คน หลวงพ่อท่านจึงนำไปให้ท่านเจ้าคุณพระพิศิษฎ์ธรรมภาณ อุปัชฌาย์ของท่านบวชเด็กทั้ง 4 เป็นสามเณรในพรรษานั้นเอง

 

 

          หลวงพ่อท่านจึงได้ชักชวนสามเณรกับชาวบ้าน ช่วยกันถางหญ้าหน้าถ้ำ เพื่อให้พ้นจากสภาพที่รกร้าง ในเดือนกันยายนพรรษานั้น วัดป่าสันติสุขารามอยู่หลังตลาดอำเภอเถินได้มีประเพณีสลากภัตร ทางวัดมาได้นิมนต์หลวงพ่อและสามเณรทั้งสี่รูป ไปรับก๋วยสลาก หลวงพ่อท่านจับได้สลากของ คุณสุคนธ์ ศุภมงคล และคุณสุคนธ์ ก็ได้ถามถึงสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นอย่างไร ซึ่งระหว่างนั้นเป็นฤดูเข้าพรรษาพอดี หลวงพ่อจึงจำพรรษาอยู่ในถ้ำ และต่อมาคุณสุคนธ์ก็เกิดศรัทธาขึ้นจึงได้ชวนสามีคือ นายแพทย์สุธรรม ศุภมงคล มาทอดผ้าป่า นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาถวายพร้อมปัจจัยอีกประมาณเจ็ดพันบาทเป็นกองผ้าป่ากองแรก

 

 

 

 

           เนื่องจากถนนที่เข้าวัดยังลำบากมากในสมัยนั้น เงินก้อนนั้นหลวงพ่อท่านจึงขอชาวบ้านช่วยรื้อกุฎิที่ชำรุดหักพังมาทำการก่อสร้างขึ้น โดยอาศัยไม้เก่า ๆ ไม่นานวัดก็เริ่มเป็นรูปร่างขึ้น พอมีกุฎิให้สามเณรพักอาศัยกันแดดกันฝน หลังจากออกพรรษาทางวัดได้รับกฐินสามัคคีจากคณะของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธวราภรณ์ (ปัจจุบันเป็นสมเด็จพระพุทธปาพจนบดีวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ) มาทอดได้เงินสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน และในปีนี้เองได้มีพระภิกษุ สามเณร แม่ชีมาขออยู่ร่วมบำเพ็ญภาวนามากขึ้น

 

 

195631171_311924993936094_3261942862292395798_n.jpg

196089029_1213269495806698_5847446387092282746_n.jpg

197127176_777785576433804_8977529568523192815_n.jpg

199033095_871463663720235_8074192049865273168_n.jpg

193006431_1152651275260870_5550927031555398926_n.jpg

 

 

วัดภูนเรศ ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง สถานที่สำคัญอีกแห่ง ที่สันนิษฐานว่าเป็นจุดตั้งทัพ และที่พักพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในอดีต ครั้งยกทัพมายังอาณาจักรล้านนา วัดภูเนรศ เป็นโบราณสถาน ที่เชื่อได้ว่าเป็นพลับพลาที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร มหาราช เมื่อครั้งนำทัพสยามไปตีกรุงอังวะ ตั้งอยู่ที่ ถ.พหลโยธิน ต.แม่ถอด อ.เถิน จ.ลำปาง

วัดภูนเรศเดิมคือป่าลับแล เป็นที่นัดพบระหว่างพระแม่สุพรรณกัลยา พระเอกาทศรส และพระนเรศวร ซึ่งวัดภูนเรศเป็นที่พลับพลาที่ประทับของพระนเรศวร เมื่อสร้างค่ายเสร็จก็แยกย้ายกันออกรบ พระครูวิเศษวรการ วัดหารเชี่ยว ได้มาพบสถานที่แห่งนี้และบูรณะให้กลายเป็นวัดและสร้างสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

197767656_858446988351802_746213367785879264_n.png

197790607_833578867534016_1914211653214094881_n.png

198254927_391849895487733_8975242594262438505_n.png

198547274_272305964674925_6808864383062146295_n.png

131338459_292941995855325_9178734108315240961_n.png

196853467_207098731311830_5405340426887722002_n_1.png

196853467_207098731311830_5405340426887722002_n.png

197622502_794326484611427_4982133194953394956_n.png

 

 

อัญมณีเลอค่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น "แก้วโป่งข่าม"

 

          ย้อนอดีตไปประมาณ 103 ปี ( เมื่อปี พ.ศ 2514 ) หรือ 147 ปีที่ผ่านมา ได้มีพรานป่ารุ่นเก่าแก่ ชื่อ นายจี๋ พรานป่าคนนี้เวลาเข้าป่าไม่เคยมีของป่าติดมือมาซักครั้ง แม้กระต่ายป่าสักตัวยังไม่เคยได้มาเลย ทั้งนี้เพราะทุกครั้งที่ไปล่าสัตว์ป่าในบริเวณป่าโป่งหลวงคำภิโรชัย บ้านแม่แก่ง เคยไปล่าสัตว์ที่บริเวณป่าโป่งหลวงหลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปล่าไม่เคยได้สัตว์นั้นต้องเกิดอุปสรรค เช่น ปืนที่ยิงสัตว์ป่าเคยใช้ได้เป็นดีนั้นเกิดกระสุนขัดลำกล้อง ลูกปืนยิงไม่ออก ต่อมานายจี๋ คิดวิธีล่าสัตว์ใหม่ในบริเวณดอยโป่งหลวง โดยทำคอกดักสัตว์ ซึ่งสามารถดักเก้งได้ตัวหนึ่งและได้พยายามหาวิธีฆ่าเก้งตัวนั้นเพื่อจะได้นำกลับบ้าน จึงใช้ไม้หลาวทิ่ม ปรากฏว่า เก้งตัวนั้นสามารถหลบคมหลาวได้ทุกครั้งและยังหลุดหนีจากคอกกั้นไปเสียอีก เหตุการณ์ดังกล่าวยังสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงกับนายจี๋อย่างมากเพราะตั้งแต่เป็นนายพรานมา ออกป่าที่ไหนก็ได้สัตว์ทุกครั้งไป แต่กับบริเวณป่าโป่งหลวงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้จะคิดรอบคอบฝีมือดีอย่าไงไรก็ตาม จึงเป็นที่เล่าลือถึงสถานที่แห่งนี้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้พรานป่าทั้งหลายไม่กล้าเข้าไปล่าสัตว์ในบริเวณนั้นอีกเลย

 

 

          นอกจากนี้เคยมีผู้เผาป่าตีเหล่าไฟก็ไม่ไหม้ป่าบริเวณนั้นและยังเคยมีผู้คนเคยเห็นแสงประหลาดอยู่ในป่าบ่อแก้วโป่งหลวงแห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านจึงได้แก้วโป่งข่ามที่เห็นเป็นแสงเรืองๆ ในบริเวณดอยโป่งหลวงแห่งนี่ จึงได้เดินตามไปพบแก้วโป่งขามที่มีสีใสแวววับต่อมาชาวบ้านได้พากันไปขุดและได้นำมาเป็นเครื่องประดับตกแต่ง เป็นเครื่องรางของขลังติดตัว ตามความเชื่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน แหล่งกำเนิดหรือวัตถุดิบที่นำมาเจียระไนเป็นแก้วโป่งข่าม แหล่งกำเนิดของแร่ธาตุหรือแก้วโป่งข่าม

 

 

          “แก้วโป่งข่าม” มีแหล่งกำเนิดบริเวณเทือกดอยขุนแม่อาบ และขุนแม่อวม ขุนดอยต่างๆ อันมีด้วยห้วยออกรู ดอยแม่ผางวง ดอยห้วยมะบ้า ดอยห้วยตาด ดอยโป่งหลวง ดอยห้วยกิ่วตู่ ดอยโป่งแพ่ง ดอยห้วยตาด และดอยผาแดง ในเทือกดอยขุนแม่อาบได้ให้กำเนิดแต่ดอยห้วยออกรูของดอยขุนแม่อาบ ส่วนน้ำห้วยแม่เตินกำเนิดแต่ดอยผาแดงระหว่างดอยขุนแม่อวบ และดอยขุนแม่อาบติดต่อกัน เทือกเขาดังกล่าวคือ เขตดอยพันวาที่กั้นแนวระหว่างเมืองเถิน เมืองลี้เขตจังหวัดลำพูน โดยที่อาณาเขตของบ่อแก้วโป่งข่ามที่เลื่องลือ อยู่ในตอนลุ่มดอยขุนแม่อาบและจอมดอยผาแดง อันเป็นใหญ่ในจอมดอยทั้งปวงในละแวกนั้น

 

 

 

          กำเนิดเรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของแก้วโป่งข่าม อยู่ในศูนย์กลางพื้นที่ซึ่งเรียกกันว่าดอยโป่งหลวง อันให้กำเนิดห้วยโป่งระหว่างช่องดอยโป่งหลวงและโป่งแพ่งติดต่อกัน ห้วยโป่งไหลรวมสมทบกับห้วยมะบ้า และห้วยแม่ผางวงลาดลงสู่บริเวณบ้านนาบ้านไร่รวมกับห้วยบ่อช้างล้วง น้ำห้วยแม่แก่ง ลำน้ำห้วยแม่แก่งก็ไหลขนานกันคนละฟากดอย ไปพบแม่น้ำวังที่บ้านสบเตินและบ้านสบแก่งของแม่น้ำวัง ซึ่งแม่น้ำวัง ซึ่งเป็นเส้นโลหิตใหญ่หล่อเลี้ยงคนในชุมชนลุ่มน้ำวังตอนล่างตั้งแต่พื้นที่ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ไหลผ่านพื้นที่อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง และไปบรรจบลำน้ำปิงบริเวณบ้านปากวัง ตำบลแม่สลิต อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก

 

 

          บริเวณป่าตามขุนดอยแม่แก่ง มีดินโป่งอยู่หลายแห่งก่อนที่จะถึงบริเวณที่เรียกว่าโป่งหลวง แหล่งกำเนิดชื่อโป่งข่ามมีโป่งแกอยู่ด้านซ้ายมือ โป่งแพ่ง โป่งแม่ล้อม อยู่ถัดๆไปล้อมรอบบริเวณที่เรียกว่าโป่งหลวง พระฤๅษีที่อยู่ในป่ามักอาศัยถ้ำและอยู่ได้ด้วยการอาศัยเกลือจากดินโป่งด้วย ที่เขตน้ำแม่แก่งของตำบลแม่ถอดนี้ มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งอาจจะเคยเป็นที่อยู่ของพระฤๅษีในสมัยโบราณ ปัจจุบันเป็นวัดขึ้นแล้วชื่อ วัดสุขเกษม ยังมีตำบลที่อยู่ติดกับตำบลแม่ถอดชื่อตำบลนาโป่ง แต่โดยบริเวณโป่งหลวงอันเป็นที่มีสัตว์ลงกินดินโป่งมากเป็นพิเศษ และ มีกิติศัพท์ในเรื่องราวความข่ามคงต่างๆ อาจจะหมายถึง บริเวณโป่งดินที่เคยข่าม ก็ได้

 

 

          ทั้งนี้ก็เพราะคำว่า "โป่ง" นี้ หมายถึงสิ่งที่ผุดขึ้นมาได้ด้วย เช่นโป่งน้ำพุร้อน ที่จังหวัดเชียงราย ไส้เทียนที่ลงยันต์คาถาเรียกว่าโป่งเทียนดินที่เป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่นบริเวณสถานที่เรียกว่าโป่งแห้งในเขตตำบลบ้านเป้า อำเภอเมืองลำปาง หมายถึงที่ผุดขึ้นมาของดินพิษ หินที่มีเนื้ออ่อนทำหินลับมีดได้ เช่นหินในเขตอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เรียกว่าหินโป่ง ซึ่งในตำบลแม่ถอดนี้ ยังคงใช้หินโป่งของอำเภอแจ้ห่มเจียระไนแก้วโป่งข่ามอยู่เสมอ

 

 

          แหล่งแก้วตำบลแม่ถอดเป็นแก้วหินที่งอกอยู่ใต้ผิวดินในลักษณะสิ่งที่ผุดขึ้นมาโดยช่องร้าวของพิภพ เมื่อมีสิ่งมีค่าหาได้ยากผุดขึ้นมาได้เช่นนี้ และมีเรื่องราวของความข่ามคงเล่าสืบกันมาก็อาจจะตีความหมายด้วยวิธีแปลอย่างสละสลวยได้อีกว่าแหล่งที่ผุดขึ้นมาแห่งความข่ามคง ในสภาพสถานที่นั้นเป็นโป่งแก้วอันล้ำค่าอีกด้วย โดยที่เทือกเขาขุนตาลอันแผ่มาถึงขุนแม่ถอด ขุนแม่เตินและขุนแม่อาบ ขุนแม่อวม ซึ่งแผ่ลงมา เป็นอาณาบริเวณบ่อแก้วโป่งข่ามนี้ เป็นภูเขาที่มีรอยผุรอยร้าวน้อยกว่าภาคกลาง หินอัคนีที่แทรกขึ้นมาเป็นช่อง เล็กๆ หินแก้วต่างๆที่กำเนิดจากเทือกดอยดังกล่าวนี้ จึงมีทรงผลึกเล็กๆขนาดจุ๋มจิ๋ม ซึ่งเหมาะที่สุดในการที่จะเป็นหินแก้วประดับมากกว่าประโยชน์ทางอุตสาหกรรมความมีสภาพเป็นทรงผลึกเล็กๆนี่เอง ที่ทำให้ลวดลายต่างๆจากสินแร่อื่นๆเข้าไปปรากฏ จึงมีสภาพที่สมบูรณ์แบบในการที่จะทำเป็นแก้วแหวนต่างๆ เป็นสิ่งที่เรียกว่า โป่งข่าม

 

 

          จากปรากฏการณ์แต่สมัยก่อกำเนิด มีที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งก็คือ โดยโครงสร้างของผลึกแก้วต่างๆที่ขุมแก้วโป่งข่าม อยู่ในรูปการแต่งเสริมทางธรรมชาติแปลกๆ คือมีหินแก้วที่งอกขึ้นแล้วงอกขึ้นทับขึ้นอีกดังที่เรียกว่าแก้วเขาแก้ว การแต่งเสริมทางธรรมชาติ เช่นนี้ ย่อมหมายถึงการที่มีการระเบิดของไฟหินอัคนี แต่ดึกดำบรรพ์หลายวาระ จะเห็นว่ามีดอยบางลูกที่ให้แก้วชนิดมีแสงประกาย ซึ่งเกิดทั้งรอยร้าว และ รอยเชื่อมทางธรรมชาติของตนเองระหว่างช่วงที่แข็งตัวแล้วและช่วงที่ละลายคล้ายพฤกษชาติและคราบชีวิตเล็กๆ พร้อมด้วยแสงสีอันมีแต่สมัยกัปปกัลป์ ดูจะคงสภาพไว้ภายใต้แท่งแก้วหน่อน้อยหน่อใหญ่ที่รักษาคราบนั้นไว้ให้เราดู และได้รับสิ่งที่ควรเรียกว่าพิพิธภัณฑ์บนนิ้วมือ สิ่งนี้คือส่วนประกอบขึ้นพร้อมการกำเนิดของหินอัคนี เหนือขุนดอยโป่งข่ามบริเวณดอยโป่งหลวง อันเป็นศูนย์กลางของที่กำเนิดชื่อโป่งข่าม หินอัคนีแยงขึ้นในลักษณะทแยงตามแนวลาดของไหล่เขา จึงมีผู้ขุดพบและตามสายแก้วตามรูปทำเลของผิวดิน จึงเสมือนหนึ่งมีอำนาจลึกลับดลบันดาลสิ่งที่จะให้แก่ชาวบ้านได้ขุดหน่อแก้วกันอย่างที่ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว

 

 

          หินแก้วต่างๆของอำเภอเถิน ชาวบ้านเรียก หินแก้วมิได้เรียกว่าพลอย มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือคนทางเหนือจะเรียกแก้วสีแดงว่า "พลอยแดง" เช่นการพบแก้วสีแดงในกรุพระเจดีย์เขตอำเภอฮอดแต่สมัยสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จล่องแก่งผ่านบริเวณดังกล่าวในเขตอำเภอเถินมีหินแก้วสีม่วง (Amethyst Quarts) อยู่ในเขตตำบลแม่วะ ซึ่งรู้จักกันดีว่า "พลอยสีม่วง" ที่พบในภูมิภาคอื่นๆมีคนนิยมมาก แต่พลอยสีม่วงนี้ ไม่มีในบ่อแก้วโป่งข่ามมีสิ่งแปลกประหลาดมากสำหรับหินแก้วในบ่อแก้วโป่งข่าม มีแร่ทองคำเข้าไปอยู่ด้วย ซึ่งฝ่ายผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะกำเนิดแร่ควอตซ์ที่อำเภอเถินอยู่ในอุณหภูมิต่ำที่อาจจะมีแร่ทองคำเข้าไปอยู่ได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับการเข้าใจ เพราะสินแร่ต่างๆที่เข้าไปปรากฏในแก้วโป่งข่ามบางอย่าง เช่นพวกแร่เหล็กปนกำมะถัน ให้สีทองเหมือนกัน มีพวกแร่ "ไพไรท์" ที่เข้าไปอยู่บางคนเข้าใจผิด เรียกว่าก้อนทองก็มี ยังมีพวกปวกต่างๆ อันเป็นแร่ที่สามารถเจริญเติบโตได้เมื่อเจ้าของเอามาเลี้ยงกับน้ำ ถือเป็นเครื่องรางด้วย

 

 

          บางรายเอาแหวนแก้วโป่งข่ามใส่ตู้เย็นแล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงของปวกทั้งสีสันต่างๆ ที่ดูแผ่โตขึ้นมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในแก้วโป่งข่าม คือ คราบเหลืองๆที่ปรากฏขึ้นตามซอกร้าวของแก้วแก้วโป่งข่ามบางเม็ด มีลายเหมือนลายในก้อนน้ำแข็ง และลายฝ้า ซึ่งเรียกว่าหมอกมุงเมือง ใช้เป็นเครื่องเสี่ยงทาย หรือเพ่งดูนรกสวรรค์ทางสมาธิ มีแร่ผลึกสี่เหลี่ยมคือข้าวตอกพระร่วงเข้าไปอยู่ข้างใน หรือพวกแร่โลหะต่างๆ พวกเส้นเข้าไปอยู่เหมือนเข็ม หรือเหมือนขนแปลง มีแร่บางชนิดที่ตกผลึกอยู่ในรูปต้นไม้ หรือรูปพุ่มดอกต่างๆ บ้างเป็นกลีบคล้ายหอย ฯลฯ

 

 

          ในการวิเคราะห์ตัวอย่างแก้วโป่งข่าม มีผู้พบแร่บุษราคัมขาว (Topaz) แซกอยู่ด้วย บ่อแก้วต่างๆในเขตดอยโป่งข่าม ที่นักขุดหาหน่อแก้วนิยมกันคือ บ่อเด่นยาว บ่อโป่งแพ่ง บ่อโป่งหลวง และบ่อผาแดงบ่อแก้วผาแดงมีชื่อเสียงในการเป็นแหล่งกำเนิดแก้วน้ำดี เนื้อแกร่งมีเส้นแร่ต่างๆ ที่เรียกว่าเส้นขนเหล็กขนไหมต่างๆ ทั้งที่ตกเป็นเส้นกอและเส้นพุ่ม ส่วนบ่อแก้วโป่งหลวมมีชื่อเสียงเกี่ยวกับแก้วสีฟ้า และสีฟ้าแร มีทั้งแก้วใส แก้วขาว และแก้วหม่นบ่อโป่งแพ่งมีทั้งสีฟ้าอ่อนและเส้นขนเหล็กขนาดเล็กๆ ไม่เกินเส้นผม บ่อโป่งแพ่งนี้ อยู่ใกล้บ่อโป่งหลวง และมีพวกแก้วปวกต่างๆถึงบ่อเด่นยาว อยู่ใกล้บ่อโป่งหลวง และมีพวกแก้วปวกต่างๆถึงบ่อเด่นยาว ยังมีบ่อสำคัญอีกบ่อหนึ่ง คือบ่อห้วยช้างล้วงซึ่งเป็นเขาลูกเดียวกับห้วยออกรูต้นกำเนิดน้ำแม่แก่ง ให้แก้วชนิดขนยุงแซมไหม หรือเส้นขนเหล็กแบบเส้นพุ่ม และแก้วแรทีออกสีชาจากแร่เฟลด์สปาร์ ซึ่งเรียกว่ามุกดาหาร (Moon Stone)

 

 

          มีเรื่องเล่ากันว่า แก้วประเภทขนยุงแซมไหม ยกให้เป็นแก้วปู่ขัน ซึ่งเป็นลุงแก่ๆ นักหาหน่อแก้วลวดลายพิเศษซึ่งคนอื่นๆต้องอิจฉา ต้องสะกดรอยเพื่อค้นหาความลับบ่อแก้วของบ่อปู่ขัน เรื่องราวในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับแก้วสีฟ้า คือเรื่องของย่านวล หญิงแก่ผู้ค้นพบแก้วสีฟ้า เราจะเห็นว่า ในกรุโบราณต่างๆ มีแก้วชนิดอื่นอยู่มาก แต่ขาดแก้วสองชนิดนี้ ซึ่งควรถือเป็นของดีที่เพิ่งค้นพบ และมีราคาสูงกว่าพวกตระกูล "พลอยแดง" ที่พบในตำบลแม่วะ อ.เถิน จ.ลำปาง แก้วโป่งข่าม วิสาหกิจชุมชน ของคนแม่ถอด ชุมชนบ้านนาบ้านไร่ หมู่ที่ 5 ,บ้านแม่แก่ง หมู่ที่ 4, บ้านแม่เติน หมู่ที่ 3 และบ้านแม่เตินเหนือ หมู่ที่ 13 มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบลุ่มสลับภูเขา มีพื้นที่อยู่อาศัยและทำการเกษตร เพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและหาของป่า เป็นรายได้เสริมของคนในชุมชน

 

 

          เนื่องจากพื้นที่มีลักษณะเป็นป่าราบสลับภูเขา จึงมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และแร่ธาตุต่างๆ มากมายด้วยพื้นที่เหล่านี้ ได้แก่ หินอ่อน แร่เหล็ก ฟลูออไรด์ แร่ ทองคำ ฯลฯ ซึ่งทรัพยากรตกผลึกหลอมรวมกันนั้น ชาวอำเภอเถิน เรียกทรัพยากรชนิดนี้ว่า “แก้วโป่งข่าม” แก้วโป่งข่ามหรือหินเขี้ยวหนุมานมีความแข็งเทียบได้กับแร่ควอทซ์ (มีความแข็งอันดับ 3 รองจากเพชร) โดยโป่งข่ามเหล่านี้ ตกผลึกสวยงามตามธรรมชาติ และชนิดของแร่ธาตุที่ปะปนกันอยู่ในเม็ดแก้ว เมื่อเจียระไนทำเป็นเครื่องประดับแล้วสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่ ตามตำนานเล่ากับสืบมาว่าแก้วที่ขุดได้จากดอยโป่งหลวงเขตพื้นที่บ้านนาบ้านไร่ ตำบลแม่ถอดแล้ว จะเป็นแก้วโป่งขามที่คนทั่วไปในอำเภอเถิน จังหวัดลำปางเป็นที่นิยม มีความเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์สามารถแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆให้ความร่มเย็นเป็นสิริมงคลต่อเคหะสถานบ้านเรือน

 

 

 

          บ้านนาบ้านไร่ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ในสมัย 200 ปี ที่ผ่านมา สภาพทั่วไปของหมู่บ้านในสมัยนั้นเป็นพื้นที่ป่ารกร้างต่อมามีชาวบ้านในหมู่บ้านเวียงและอุมลอง ตำบลล้อมแรดมาถากถางทำไร่ ไถ่เป็นนาและย้ายครอบครัวมาสร้างหมู่บ้านและได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “นาบ้านไร่”  ต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ เป็นบ้านนาบ้านไร่ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง  อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเถินประมาณ 10 กิโลเมตร การคมนาคม เข้าสู่ศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ โอทอป บ้านนาบ้านไร่ หมู่ที่ 5 ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธินสายเก่า) จากกรุงเทพมหานคร นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ถึงอำเภอเถิน บริเวณกิโลเมตรที่ 538 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเถิน –ลี้ บริเวณกิโลเมตร ที่ 3 เข้าสู่ถนนดอนทราย-แม่แก่ง ผ่านบ้านดอนทราย หมู่ที่ 13 ตำบลล้อมแรดอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เข้าสู่ บ้านดงไชย หมูที่ 7 ,บ้านสุขสวัสดิ์ หมู่ที่ 12 .บ้านนาบ้านไร่ หมู่ที่ 5 และบ้านแม่แก่ง หมู่ที่ 4 หากมุ่งตรงไปถนนดอนทรายแม่แก่ง จะพบบ้านแม่เติน หมู่ที่ 3 และบ้านแม่เตินเหนือ หมู่ที่ 13 ซึ่งเป็นแหล่งผลิตภัณฑ์แก้วโป่งข่ามของตำบลแม่ถอดเช่นกัน (สายสุรีย์ คำน้อย.ผลิตภัณฑ์ แก้วโป่งข่าม.2555)

ข่าวสารความเคลื่อนไหว

ข้อมูลข่าวสารอัพเดทของหน่วยงานของเรา

VTR แนะนำแม่ถอด

งานตรวจสอบภายใน

สถิติการให้บริการ

รายงานผลการสำรวจความพึงพอใจการให้บริการ

Text Here

หมวดข่าวประชาสัมพันธ์

อ่านข่าวอื่นที่น่าสนใจ

ผู้บริหาร

50b8ed20-696c-4c37-9f17-399364fde563-removebg-preview.png  

นายปกรณ์ วงศ์มณีวรรณ
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ถอด
080-1301474

  

 

ปลัด อบต.

Boss-2566-01.png

นางสาวจันทร์ทรา นภาทอง
ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ถอด

line official account

423568454_739254694844043_134696286928092966_n.jpg

การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน

งานแต่ละกอง

 

 

พื้นที่/ตร.กม.

133

หมู่บ้าน/หมู่บ้าน

13

ประชากร/คน

6642

หมวดข่าวงานการศึกษา

เอกสารเผยแพร่กองคลัง

หมวดข่าวกองคลัง

อ่านทั้งหมด

ระบบการเงินกองคลัง

  1. แผนการจัดซื้อจัดจ้าง
  2. รายงานการจัดซื้อจัดจ้าง
  3. รายงานการกำกับฯ
  4. รวมจัดซื้อจัดจ้าง e-GP
อ่านทั้งหมด
อ่านทั้งหมด
อ่านทั้งหมด
next
prev

Q&A ถามตอบข้อสงสัย

ราคาน้ำมัน

ตรวจผลสลาก

Title of the document

สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Association of Southeast Asian Nations) อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ 10 ประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วยความร่วมมือ อาเซียนเห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) คือการให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
link-01.pnglink-02.pnglink-03.pnglink-04.pnglink-05.pnglink-06.pnglink-07.pnglink-08.pnglink-09.pnglink-10.pnglink-11.pnglink-12.pnglink-13.pnglink-14.pnglink-15.pnglink-16.pnglink-17.pnglink-18.pnglink-19.png